วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

my if else
<?php
$score=77;
if($score<50){
echo 'grade 0';
}else if($score < 56){
echo 'grade 1';
}else if($score < 60){
echo 'grade 1.5';
}else if($score < 66){
echo 'grade 2'; 
}else if($score < 70){
echo 'grade 2.5'; 
}else if($score < 76){
echo 'grade 3'; 
}else if($score < 80){
echo 'grade 3.5'; 
}else if($score < 86){
echo 'grade 4'; 
}else if($score < 90){
?>

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556



rozen Yogurtไอติมชนิดนี้เป็นไอติมที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์และส่วนใหญ่ไขมันจะต่ำสุดๆ เลย เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไดเอท รสชาติอร่อย ชื่นใจ

Sherbet

ไอติมผลไม้ที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล และไข่ขาว และไม่ใส่นมหรือครีม แต่บางทีเราก็จะพบไอติมเชอร์เบทที่มีส่วนผสมของนมหรือครีมบ้าง เพื่อให้เนื้อของไอติมแน่นและเข้มข้นขึ้น เวลาที่สาวๆ กินก็นิยมกินพร้อมผลไม้สด ซึ่งเลือกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้รสเปรี้ยวหรือรสหวาน

Soft – Serve

ไอติมนมเนื้อเนียนนุ่ม ส่วนผสมจะต่างจากไอติมธรรมดา ความเก๋ของ ไอศกรีม ชนิดนี้อยู่ที่ปริมาณไขมันที่ต่ำกว่าไอติมทั่วไป ไม่ต้องแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ แต่จะนำส่วนผสมใส่เครื่องแล้วบีบใส่โคนหรือถ้วยเสิร์ฟได้เลย ความเก๋อีกอย่างคือเนื้อของไอติมชนิดนี้จะบางและเบา เพราะผ่านการตีในเครื่องจนเนื้อไอติมฟูและมีอากาศอยู่ในเนื้อไอติมอยู่มาก เวลาที่เรากินไอติมซอฟท์เสิร์ฟ ถ้วย ปริมาณเนื้อไอติมจริงๆ จึงน้อยกว่าไอติมทั่วไป จึงจัดเป็นไอศกรีม ที่เหมาะกับสาวๆ ที่กำลังไดเอทค่ะ

Sorbet

ไอติมที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล อาจมีส่วนผสมของเหล้าหรือกาแฟด้วยก็ได้ แต่ไม่มีส่วนผสมของนมและไข่ขาวเหมือน Sherbet แต่รสชาติอร่อยแถมไม่มีไขมันหรือแคลอรีสูงๆ

http://variety.teenee.com/foodforbrain/55452.html

คุณสมบัติที่นางเอกละครไทยต้องมี



นี้คือคุณสมบัติของนางเอกละครไทยที่ต้องมี ถ้าคุณจะเป็นนางเอก
๑. หมั่นซ้อมบทผู้ชายไว้ คุณอาจต้องได้ปลอมตัว

๒. ทุกคนจะโง่หมด โดยเฉพาะพระเอกจะไม่รู้ว่าคุณเป็นคุณหญิง

๓. ถ้าเป็นสาวจอมแก่น จ้องนายอำเภอหรือปลัดไว้ นั่นล่ะพระเอก

๔. คุณจะเกิดมาเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและชาติตระกูล ถ้าไม่ใช่อย่ากังวล สุดท้ายคุณจะเป็นทายาทแล้วก็จะได้สามีรวย

๕. นอกจากบทผู้ชายแล้ว ให้ซ้อมบทคนใช้ไว้ด้วย เพราะคุณอาจต้องปลอมตัวเพื่อสืบอะไรบางอย่าง แต่จะเป็นคนที่ยอดอัจฉริยะจริงๆ

๖. บางคนอาจเติบโตมาในซ่อง แต่ไม่เป็นไรคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง และใฝ่ดีอยู่เสมอ

๗. ถ้าผู้ร้ายปล้ำอย่าตกใจ เดี๋ยวพระเอกจะมาช่วยเอง แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม

๘. ถ้ามีใครขับรถชนพ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทของคุณ ให้รู้ไว้เลยว่าไอ้นั่นคือพระเอก

๙. ถ้าตระกูลเธอมีความแค้นกับบ้านไหน ให้เล็งลูกชายบ้านนั้นไว้ คุณจะได้แต่งงานกับหมอนั่นแหละ

๑๐. ในกรณีที่พระเอกมีเมียแล้วอย่ากังวล สุดท้ายนางนั่นจะตาย / เป็นบ้า / เป็นฆาตกรโรคจิต / เป็นคนผิดที่กดดันพระเอกมากไป พูดง่ายๆ คือคุณจะพ้นการถูกกล่าวหาว่าแย่งสามีชาวบ้านอย่างสบายใจ

๑๑. ไม่ว่าภายนอกของคุณจะดูโชกโชนขนาดไหน ความจริงคุณคือสาวบริสุทธิ์แสนดี แต่มีเหตุทำให้คุณต้องร้ายกาจเพื่อประชดตัวเอง

๑๒. ถ้าบังเอิญต้องย้ายไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่มีคฤหาสน์หลังใหญ่ เบ่งเข้าไว้คุณคือเจ้าของตัวจริง

๑๓. ชายหนุ่มคนที่คุณคบด้วยตั้งแต่เริ่มต้นจะไม่ใช่พระเอก

๑๔. คุณมักจะได้รับการศึกษาในระดับสูง โดยมากจะจบจากนอก อย่ากังวลคุณไม่ต้องรับผิดชอบการงานมากนัก นอกจากไล่จับพระเอกกับแต่งตัวสวยเสมอ

๑๕. คุณอาจจะได้ไปเมืองนอก วันๆ คุณจะต้องหมกตัวอยู่ในห้องพักที่จัดไว้หลอกตาคนว่า เป็นห้องพักในปารีสหรือลอนดอนตามท้องเรื่อง และถ้าได้เดินก็บังเอิญจะต้องเดินผ่านเฉพาะที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของ ประเทศนั้นทุกที

๑๖. ถ้าคุณมีบทนอนหลับอย่างผาสุก ไม่ต้องท่องบท หน้าตาคุณจะได้รับการตกแต่งอย่างดีเลิศ ตื่นเช้าก็ไม่ต้องแปรงฟัน ผมเผ้าไม่มีวันยุ่งเหยิง

๑๗. ถ้าคุณตกระกำลำบากมากในป่าดงดิบเมื่อไหร่ คุณจะได้ไปนครนายก สระบุรี ถ้ำ น้ำตกแถวๆ นั้นทุกเรื่องนั่นแหละ

http://variety.teenee.com/foodforbrain/55536.html

10 ฉาก ประจำละครชาติไทย

ในหลายๆฉากที่เห็นนั้นในละครแต่ละเรื่องมีแต่บทที่ซำ้ไปซ้ำมา  จนเราเคยชินกัน สิ่งที่จะบอกเล่าต่อไปนี้คือ ในละครไทยมีอะไรบ้าง สามารถแบ่งเป็น 10 ฉากที่ตั้งแต่เราเกิดได้เห็นละครไทยมา มันมีกี่อย่างบ้างที่ขาดฉากเหล่านี้ไม่ได้เลย มีดังนี้

อับดับที่ 10 ฉากเริ่มเรื่อง พระเอกกับนางเอกจะไม่ถูกกันเกือบทุกเรื่อง ทำอะไรขัดใจกันตลอดชาติในช่วงแรก

อับดับที่ 9 ฉากตัวร้ายต้องแต่งหน้าเข้ม แต่งตัวจัดๆ เสียงดังเอะอะโวยวาย ส่วนผู้ร้ายตัวโกงก็ต้องแต่งชุดดำทำหน้าหื่นกามใส่

อับดับที่ 8 ฉากที่มีมีตัวละครพยายามตลกในฉากต่างๆของละคร ซ้ำไปซ้ำมา

อับดับที่ 7 ฉากตบกัน เอะอะอะไรก็กรี๊ด!!!!!! ตบกันไปมาเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฏหมายปล่อยให้ตบกันแบบนี้

อับดับที่ 6 ฉากพระเอกหรือนางเอกต่อสู้กับผู้ร้าย มักจะไม่โดนยิงเลยแม้แต่น้อย พระเอกหลบสุ่มไก่ โจรยิงเท่าไหร่ก็ไม่โดน แต่โจรหลบตรงไหนแม่งโดนพระเอกยิงตายทุกที่ เฮ้อ!!!

อับดับที่ 5 ฉากแย่งปืนแล้วเสือกโดนคนอื่น เจอประจำ

อับดับที่ 4 ฉากเอามีดแทงกัน โดนท้องประจำ ถ้ายิงพระเอกก็โดนแต่ไหล่ ไรว้า!!!!!!

อับดับที่ 3 ฉากระเบิดภูเขา เผากระท่อม ที่เอะอะอะไรก็เผา ทำซะบ้านเมืองไม่มีกฏหมาย

อับดับที่ 2 ฉากจี้นางเอกเป็นตัวประกัน ย้ำ!!!!ว่ามีทุกเรื่องในละครไทยทุกช่อง

อับดับที่ 1 ฉากโดนข่มขืน ตื่นเช้ามาแพ้ท้องเลย!!!! อะไรแว้!!!!!


4 เคล็ดลับ ให้หยุดผัดวันประกันพรุ่ง



หากมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง งานของคุณก็จะไม่มีวันสร็จ
1.จำเดดไลน์ไว้ให้ดี ในขณะที่คุณอาจเลื่อนลอยอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อภารกิจได้รับเดดไลน์ นั่นแปลว่ามันสำคัญจริงๆ เพราะเดดไลน์ไม่ได้สำคัญต่อคุณคนเดียวเท่านั้น ยังสำคัญต่อเพื่อนร่วมงาน ถ้าคุณทำงานไม่ทัน ทีมงานคนอื่นอาจเห็นว่าคุณไม่ให้ความเคารพและไม่รับผิดชอบ

2.จด ไม่ว่าจะใช้กระดาษหรือออร์แกไนเซอร์ การจดเดดไลน์เป็นสิ่งสำคัญมาก

3.แบ่งงาน หลายคนรู้สึกว่าเดดไลน์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหากเราแบ่งมันออกเป็นเดดไลน์ย่อยๆ เช่น หากคุณมีพรีเซนต์วันศุกร์ ก็ลองกำหนดให้สไลด์เสร็จภายในวันอังคารสัก 70% แล้วที่เหลือเสร็จภายในวันพฤหัสบดี จะช่วยให้งานไม่ทับถมกันก่อนถึงเส้นตาย

4.มีตาข่ายรองรับ ถ้าคุณมีเดดไลน์ อย่าให้งานมารวมกันอยู่ในวันสุดท้าย ให้กำหนดเดดไลน์ส่วนตัวเป็นวันก่อนหน้า เพื่อที่คุณจะได้ตรวจความถูกต้องหรือซ้อมพรีเซนต์อีกรอบ หรือไม่ก็ทำโปรเจ็กต์อื่นๆ นี่จะช่วยให้งานคุณไม่ล่าช้าและยังได้เวลาพิเศษเผื่อมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไขด้วย


วิธีไดเอท แบบ'สาวคิดบวก'

วิธีไดเอทอยู่หลายวิธีที่สาวๆ นำไปใช้ในการลดน้ำหนัก แต่วันนี้เราแนะวิธีไดเอทและสุขภาพดีแบบสาวคิดบวกมาฝาก
วิธีไดเอท แบบ'สาวคิดบวก'
การไดเอทที่ได้ผล ก็ต้องมาพร้อมกับความคิดดีๆ ในด้านบวก ที่จุดประกายให้คุณมีพลังในการสร้างหุ่นสวยและสุขภาพ ที่ดี
ถ้าสาวๆ อยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงปรับโฉมตัวเอง ให้กลายเป็นสาวสวยหุ่นดี แบบที่หนุ่มๆ ต้องมองเลียวหลังหันมามอง คุณต้องเริ่มต้นจาก ?เปลี่ยนแปลงวิธีคิด?
เพราะการไดเอท หรือลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี นอกจากจะไม่ช่วยคุณดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้สุขภาพ ของคุณแย่ลงตามไปด้วย
เพราะฉะนั้นการไดเอท ที่มาพร้อมกับความคิดดีๆในด้านบวก อาจทำให้สาวๆมีความสุข และทำให้สุขภาพดีด้วย..มาดูกันว่าสาวๆต้องคิดอย่างไร ?
1.Relax
ไม่ว่าคุณสาวๆ จะรู้สึกตกใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักมากแค่ไหนก็ตาม หยุดความคิดนั้นซะ!เพราะยิ่งคุณกังวลกับเรื่องนี้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ้วนมากเท่านั้น ฉะนั้นอย่างแรกที่ต้องทำคือ 'ผ่อนคลาย' เมื่อสมองของคุณไม่มีเรื่องต้องกังวล คุณก็จะสามารถจัดการกับปัญหาเรื่องน้ำหนักของคุณได้ง่ายขึ้น
2.Don't rush
จำไว้เสมอว่า ไม่วิธีการไดเอทแบบไหนที่จะช่วยรีดไขมันของคุณออกไปได้ในชั่วข้ามคืน เพราะความช้า เร็วในการลดน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบๆ ตัวหลายอย่าง อาทิ การใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณ มีความเครียด หรือความกังวลมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น ทางที่ดีค่อยๆ ให้มันเป็นไปทีละขึ้น และพยายามอย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป
3.Organic Food
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่า อาหารราคาแพงสูตรพิเศษสำหรับไดเอทจะทำให้คุณสาวๆ ลดความอ้วนได้ดีเท่านั้น เพราะความเป็นจริงแล้ว แค่คุณเลือกกินอาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่ง หรือ 'อาหารออแกนิค' ก็เท่ากับคุณได้กินอาหารไดเอทเช่นกัน ไม่แน่นะ คุณอาจจะได้ตำแหน่งสาวเฮลตี้ตามมาด้วย
4.By yourself
ลืมไปได้เลย! ถ้าจะฝากความหวังไว้กับยาเม็ดกลมๆ ที่อวดสรรพคุณว่าช่วยคุณลดน้ำหนัก ได้ดีเยี่ยม เพราะสุดท้ายแล้ววิธีการไดเอทที่ได้ผลดีมากที่สุดก็คือ ? ตัวคุณเอง? ที่ต้องรู้จักควบคุม และฝึกนิสัยการกินของคุณให้ถูกวิธี รับรองว่า คุณจะไม่มีทางกลับมาเป็นสาวอวบอ้วนอีกแน่นอน





น้ำกระเจี๊ยบลดไขมัน

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าในกระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง "สารแอนโธไซยานินส์" ในปริมาณมากซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบในบลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ มีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง และชะลอแก่ นอกจากนี้ยังพบว่า กระเจี๊ยบแดงมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันชนิดเลว (LDL) ในร่างกายของเราได้อย่างดีด้วย
การเลือกดื่มน้ำกระเจี๊ยบอย่างแรก ควรเลือกน้ำกระเจี๊ยบที่ยังใหม่อยู่ โดยดูได้จากสีที่ต้องแดง ไม่คล้ำเพราะหมายถึงคุณประโยชน์ที่ยังคงอยู่ แต่สำหรับสาวๆ อย่างเราที่ต้องการผอมเพรียวนั้นก็ควรเลี่ยงน้ำตาลด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นต้องเลือกน้ำกระเจี๊ยบที่มีน้ำตาลน้อยและดื่มให้ได้อย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว จึงจะได้ผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดื่มก่อนอาหาร เพราะจะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง

http://variety.teenee.com/foodforbrain/55572.html

เลือกเครื่องสำอางค์อย่างไร ให้เหมาะกับสภาพผิว

สาวผิวขาว
สาวที่มีผิวขาวผ่องนั้นออกจะโชคดี เพราะสามารถเลือกใช้ได้แทบทุกสีสัน แถมยังแต่งได้สวยอีกต่างหาก ตั้งแต่สีนูดบางเบาเป็นธรรมชาติไปจนถึงสีเข้มๆ แนวดราม่า อย่างเรียวปากสีพลัม สโมกกี้อายส์จัดเต็มเป็นต้น แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือสีโทนเหลืองซึ่งจะทำให้ดูจืดแล้วซีดเซียวมากขึ้นไปอีก ยกเว้นเสียแต่ว่าจะเป้นสีเหลืองนีออนแจ่มๆ ก็ยังพอไหว ยิ่งถ้าจับค่กับสีนีออนโทนอื่นๆ อย่างสีชมพูฟูเซีย สีส้มแสด สีเทอร์คอนซ์จัดๆ ฯลฯ ก็ยิ่งสวย


สาวผิวเหลือง
สาวไทยเชื้อสายจีนแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ล้วนแต่มีผิวขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การแต่งแต้มใบหน้าด้วยสีเฉดสีนีออนจะช่วยลดความเหลืองได้ดี อาทิ ลิปสติกสีแดงหรือสีชมพูสด อายไลเนอร์สีฟ้าน้ำทะเล อายแชโดว์สีน้ำเงินโคบอลต์ ฯลฯ หรือถ้าอยากดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาหน่อย พวกสีชมพูมส้มจะเหมาะสมมาก เพียงใช้บลัชออนสีชมอมส้มไล้เบาๆ ที่พ่วงแก้มก่อนแต้มลิปกลอสในโทนสีเดียวกันก็เริ่ดแล้ว สีที่ควรหลีกเลี่ยงคือสีโทนเหลือง โทนน้ำตาล ที่ทำให้ดูซีดเซียว หม่นหมองได้ง่าย


สาวผิวสีน้ำผื้ง
สาวไทยส่วนใหญ่มีผิวสีน้ำผึ้งอยู่แล้ว อย่าได้น้อยใจไปเพราะคิดว่าสวยสู่สาวผิวขาวไม่ได้ เพราะนี่คือสีผิวในฝันของสาวๆ ยุโรปและอเมริกันเลยทีเดียวเนื่องจากเป็นสีผิวกลางๆ ที่แม้ไม่แต่งหน้าก็ดูเก๋แล้ว ลองดูเจนนิเฟอร์โลเปซ เป็นตัวอย่าง นางมักจะขึ้นชื่อเรื่องเมกอัพเป๊ะสุดๆ และเมกอัพสีโปรดของเธอมักจะหนีไม่พ้นโทนสีส้ม สีน้ำตาล สีนู้ด และสีทอง นั่นเป็นเพราะโทนสีที่เข้ากับผิวสีน้ำผึ้งได้ดีที่สุด ผิวจะดูเปร่งประกาย หรูหรา และเซ็กซี่สุดๆ แต่ถ้าอยากได้สีสันขึ้นมาหน่อยก็เลือกสีสดค่อนไปทางเข้มอย่าง สีแดงก่ำแบบไวน์ สีมะเหมี่ยว สีชมพูเข้ม สีม่วงเข้ม หรือสีส้มอมแดง เป็นต้น แต่สีนีออนจัดๆ นี่ควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้น่าจะดีกว่า


สาวผิวคล้ำ
พื้นสีผิวของคุณมีสีน้ำตาลผสมอยู่มาก ดังนั้น ถ้าอยากแต่งหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติก็ต้องเลือกเมกอัพโทนสีน้ำตาลเป็นพื้นฐานเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็น สีน้ำตาลแดง น้ำตาลชมพู น้ำตาลส้ม น้ำตาลทอง น้ำตาลนู้ด ฯลฯ เหล่านี้เหมาะมากกับสาวผิวคล้ำ เนื่องจากสีน้ำตาลจะช่วยเบลนด์กับสีผิวไม่ให้เมกอัพดูเทาหรือหลอกลอย แต่อาจจะโชคร้ายนิดหน่อยที่สีสันต่างๆ ถูกจำกัดลงมาก อย่างพวกสีสันจัดๆ สีนีออน เหล่านี้ควรต้องทำใจว่าถ้าเซลฟ์พออย่างเหล่านางแบบแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งกล้าแต่งทุกอย่างตั้งแต่อายไลเนอร์สีนีออน ลิปสติกหรือยาทาเล็บสีแรงๆ คือถ้ากล้าพอ ไม่กลัวคนแซวก็จัดเลยค่ะยิ่งถ้าแต่งตัวแซบๆ ด้วยเรื่องนี่ยิ่งไม่น่าห่วง แต่ต้องขอยกเว้นไว้จริงๆ ก็คือสีพาสเทลและบรัชออน แก้วเป็นริ้วสีๆ ไม่ผ่านอย่างแรง

ariety.teenee.com/foovdforbrain/55575.html

5 เหตุผลของการให้อภัย

ให้อภัยในสิ่งที่คนรักทำผิด ความรัก ที่เคยหอมหวานต้องกลายเป็นความขม เขาสร้างความเจ็บปวดให้หัวใจของคุณ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรเข้าใจคือการให้อภัยกัน
1. ไม่คิดก็ไม่เจ็บ
คงทำใจได้ยากหากมีใครสักคนมาทำให้คุณเจ็บ แต่เชื่อเถอะว่าทางเดียวที่จะรักษาความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ก็คือการให้อภัย เพราะความโกรธหรือความแค้นที่เกิดขึ้น จะทำให้คุณเอาแต่คิดวนเวียนถึงคนที่ทำให้คุณเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งความคิดแบบนี้มันก็เหมือนกับการตอกย้ำความช้ำให้เจ็บมากยิ่งขึ้น โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับคุณเลย และไม่ได้ทำให้เขาสำนึกผิดเลยสักนิด รู้แบบนี้แล้วจะหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บอีกทำไม ปล่อยทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มต้นใหม่ดีกว่านะ
2. อย่าปล่อยให้เขามีอิทธิพลกับชีวิตคุณ
ความโกรธหรือความแค้นไม่เพียงจะทำร้ายคุณเท่านั้น ยังเป็นการปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามามีอิทธิพลกับคุณด้วย เพราะเขาจะเป็นเหมือนเงาตามตัวคุณไปไม่มีวันสิ้นสุด หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จิตใจของคุณก็ยิ่งอ่อนไหว และเปราะบางมากขึ้น สุดท้ายแล้วบาดแผลนั้นก็จะคงอยู่ไปตลอดชีวิต ซึ่งหากคุณคิดจะทำใจจริง ๆ ก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเจ็บอยู่แบบนี้ ฉะนั้น ก็ให้อภัยเขาซะทุกอย่างก็จะจบ
3. กำจัดความคิดแย่ ๆ ออกไปซะ
อย่างที่รู้ ๆ กันว่าความคิดนั้นมีผลต่อจิตใจและร่างกายของคุณ ยิ่งคุณคิดในแง่ลบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณมากเท่านั้น เพราะความคิดในเชิงลบนอกจากจะทำให้คุณรู้สึกเครียด หรือเกิดความกังวลใจแล้ว ยังทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ หดหู่อีกด้วย บางคนอาจถึงขึ้นเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี หากคุณพอใจจะเป็นแบบนั้นก็ไม่มีใครว่า แต่มันคุ้มแล้วหรือที่จะปล่อยให้คน ๆ เดียวทำร้ายชีวิตของคุณทั้งชีวิต
4. คนเราผิดพลาดกันได้
คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ฉะนั้น ทุกคนจึงมีข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง หากเขาทำให้คุณเจ็บปวด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาทำผิดสักหน่อย เพียงแค่เขาทำไปตามความคิดเขา ซึ่งความคิดนั้นไปขัดแย้งกับความคิดของคุณเท่านั้นเอง ดังนั้น จงเก็บความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนให้กับคุณ เก็บสิ่งดี ๆ เอาไว้ ส่วนเรื่องร้าย ๆ ก็จำไว้เป็นบทเรียนจะได้ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บ และตัวเองเจ็บเป็นครั้งที่สอง
5. การให้อภัยคือความสุข
บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้อภัยทั้ง ๆ ที่เขาทำให้เราเจ็บ เขาสมควรได้รับการลงโทษหรือเจ็บปวดบ้างสิ ถึงจะสาสมกับสิ่งที่เขาทำ จริง ๆ แล้วคุณไม่ต้องไปก้าวก่ายชีวิตของเขาหรอก ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำแล้ว ก็ไม่สามารถจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่คุณทำได้ตอนนี้ก็คือ การให้อภัยเขา แล้วกลับมาดูแลตัวเองเพื่อก้าวต่อไป หากคุณให้อภัยได้แล้ว คุณก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง



อดนอน เป็นเหตุให้หงุดหงิด

ต่อไปนี้ถ้าใครว่าคุณเป็นคนขี้วีนขี้หงุดหงิด สารพัดเหวี่ยง ก็ให้นึกกระหยิ่มใจได้แล้วว่า มันไม่ใช่นิสัยของฉันสักหน่อย แต่หลังจากรู้สาเหตุจากตรงนี้แล้วก็ให้พึงระวังโทษภัยด้านสุขภาพที่จะตามมาด้วย

ผู้หญิงเก่งสมัยนี้ คล่องทั้งเรื่องงานออฟฟิศ และยังปรู๊ดปร๊าดเรื่องงานในบ้าน ซึ่งทำเอาเวลา 24 ชั่วโมงของพวกหล่อนไม่เคยพอ จนไปเบียดบังเวลานอน คำว่า ขอเคลียร์งานก่อนแล้วค่อยกลับบ้านเป็นเรื่องชาชินของคนในครอบครัวเสียแล้ว ส่วนตัวคุณคงคิดว่าถ้าจ๊อบเสร็จได้ภายในคืนนี้ วันพรุ่งนี้คุณก็สบายล่ะสิ

ผิดถนัด คุณอาจสบายกาย แต่ใจคุณจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะอาการอดนอนแทน คุณจะปรี๊ดแตกง่ายขึ้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ใครทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด 

ถ้าคุณเป็นคนที่ทุกคนถอยห่าง ลองสำรวจตัวเองดูสักหน่อยว่าอาการเหวี่ยงวีนนี้เป็นเพราะคุณอดนอนหรือไม่ หากมากับโรคความดันโลหิตสูงและโรคเกี่ยวกับหัวใจอื่น ๆ ด้วยละก็ เป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้มากทีเดียว เพราะหากขาดการพักผ่อนนอนหลับติด ๆ กันเป็นเวลานาน จะนำมาซึ่งโรคพวกนี้ด้วยยังไงล่ะ

http://variety.teenee.com/foodforbrain/55618.html

ซื้อเครื่องสำอางอย่างไร ไม่โดนหลอก

หลายคนคงเคยพบ เครื่องสำอางยี่ห้อดังๆ ถูกนำมาขายในราคาถูกชนิดโอเวอร์ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นของแท้ ปลอดภัย "แพทย์หญิงธวลิดา เวชชวณิชย์" ศัลยแพทย์ความงามและแก้ไขโครงหน้า ผิวหนัง เวชศาสตร์ชะลอวัย Bangkok Beauty Clinic เผยหลักสำคัญไว้ว่า เริ่มแรกต้องรู้ความหมายของเครื่องสำอาง ซึ่งอยู่ภายใต้พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 กำหนดว่า เครื่องสำอางต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด และความสวยงาม เท่านั้น ไม่ใช่ยา ฉนั้นที่อวดอ้างว่า เป็นเครื่องสำอางที่ทำให้โครงสร้าง หน้าที่การทำงานของร่างกายดีขึ้น ใช้รักษาภาวะต่างๆ เช่น ปลูกผม เสริมอึ๋ม ลดอ้วน กระชับจุดซ่อนเร้น ต้องระวัง!
ส่วนหลักที่ควรพิจารณาก่อนซื้อคือ ซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ฉลากของเครื่องสำอางต้องชัดเจนและต้องมีภาษาไทย เพราะตามกฎหมายเครื่องสำอางทุกประเภท ทุกชนิดและทุกชิ้น ต้องมีฉลากภาษาไทย ถึงจะเป็นแบรนด์ฝรั่งมาจากนอกก็ตาม
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นที่ฉลากของเครื่องสำอางจำเป็นต้องมี คือ ชื่อเครื่องสำอางต้องชัดเจน, ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง, ส่วนประกอบสำคัญ โดยตามกฎหมายฉลากเครื่องสำอางต้องบอกส่วนประกอบที่มีในสูตร เรียงตามปริมาณจากมากไปน้อย เพื่อให้ผู้หลีกเลี่ยงสารก่อให้เกิดการแพ้
ยังต้องมี ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตและผู้นำเข้า ถ้าไม่มี ไม่ผ่าน อย.แน่นอน, วันเดือนปีที่ผลิต ตัวย่อ MFG.แปลว่าวันผลิต ส่วน EXP. แปลว่าวันหมดอายุ, วิธีใช้, ปริมาณสุทธิ, และคำเตือน
นอกจากนี้ยังต้องดูลักษณะรูปบรรจุภัณฑ์ ถ้าไม่เคยเห็นตามโฆษณาอย่างเป็นทางการของยี่ห้อนั้น อย่าเพิ่งมั่นใจ

รีบซื้อ และอย่าซื้อที่บรรจุไม่มิดชิด บรรจุภัณฑ์บุบยุบ เก็บในสภาพไม่เหมาะสม ส่วนเนื้อเครื่องสำอาง หากสามารถสังเกตเห็นได้ ต้องดูว่ามีความคงตัวหรือไม่ หากมีลักษณะแยกชั้นก็แสดงถึงความเสื่อม และสุดท้ายเครื่องสำอางต้องไม่มีสารต้องห้ามอันตราย อย่างสารปรอทแอมโมเนีย, สารไฮโดรควิโนน รวมทั้งกรดวิตามินเอ(เรติโนอิค แอซิด) สารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อผิวหน้ารวมทั้งอาจเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะภายในร่างกาย.


25 คำคม ข้อคิดชีวิตดีๆ จากขงเบ้ง

"ขงเบ้ง" หรือ "จูกัดเหลียง" (Zhuge Liang) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง สามก๊ก ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก
ซึ่งได้รับการขนานนามจากใครต่อใครว่าเป็น"ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" เรามักเห็นภาพวาดของขงเบ้งในชุดนักพรต ถือพัดขนนก ใบหน้าขาว

แต่งกายดูภูมิฐาน บุคลิกลักษณะของขงเบ้งที่ใครต่อใครต่างกล่าวถึง คือความเฉลียวฉลาดทางการรบและไหวพริบปฏิภาณที่เป็นเลิศ

รวมถึงวาจาอันคมคายบาดจิต ซึ่งเรียกได้ว่าคลาสสิคมาถึงยุคปัจจุบัน เพราะใช้เป็นแง่คิดชีวิตได้อย่างดี
เราลองมาดูข้อคิดทั้ง 25 ข้อที่มาจากขงเบ้ง เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างฉลาดกันดีกว่า


1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้
2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
5. ผู้ที่เล็กที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
8. ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
10. เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
12. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่
13. ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่" หรือ "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร
19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่" หรือ "ได้"
21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่" หรือ "ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่ายๆ
23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
25. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต



http://variety.teenee.com/foodforbrain/55680.html

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประเทศฟินแลนด์

ประเทศฟินแลนด์

                  ประเทศฟินแลนด์  มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์  เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง เคยถูกรัสเซียยึดครองและเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย
                 ฟินแลนด์มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ในพื้นที่ 338,145 ตารางกิโลเมตร นับว่ามีประชากรที่เบาบาง แต่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ตามสถิติของสหประชาชาติ พ.ศ. 2549 อยู่ในลำดับที่ 11 ฟินแลนด์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนหลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี พ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
                  ภาษาฟินแลนด์เป็นหนึ่งในภาษาทางการไม่กี่ภาษาของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกับภาษาเอสโตเนีย ภาษาฮังการี และภาษามอลตา
                ตั้งแต่ประมาณ 2,700 ปีก่อนพุทธกาล ดินแดนฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทางใต้ของอ่าวฟินแลนด์ โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ มีหลักฐานของเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะเฉพาะ ต่อมาในยุคสำริด พื้นที่ทางชายฝั่งของฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากสแกนดิเนเวียและยุโรปกลาง ในขณะที่พื้นที่ที่อยู่ห่างจากทะเลเข้าไป ได้รับอิทธิพลการใช้สำริดมาจากทางตะวันออกมากกว่า
                ในพุทธศตวรรษที่ 5 พบว่ามีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับสแกนดิเนเวียมากขึ้น และการค้นพบวัตถุแบบโรมันจากยุคนี้ด้วย ปรากฏการกล่าวถึงชาวฟินแลนด์ในเอกสารของชาวโรมันในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 7





       ประวัติศาสตร์


       ภายใต้การปกครองของสวีเดน

                เชื่อกันว่าจุดเริ่มต้นของความเกี่ยวพันระหว่างสวีเดนกับฟินแลนด์เริ่มต้นในปี พ.ศ. 1698 ในสงครามเผยแผ่คริสต์ศาสนา ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการตั้งเมืองขึ้นในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศที่โอบู (Åbo) หรือตุรกุ(Turku) โดยตุรกุเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรสวีเดนในยุคนั้น ในช่วงศตวรรษนี้ มีชาวสวีเดนจำนวนมากที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณชายฝั่งทางใต้และตะวันตกเฉียงเหนือ บนหมู่เกาะโอลันด์ และหมู่เกาะอื่น ๆ ใกล้เคียง ซึ่งทำให้ภาษาสวีเดนยังคงเป็นภาษาหลักของภูมิภาคนี้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ภาษาสวีเดนได้กลายมาเป็นภาษาของชนชั้นสูงในภาคอื่น ๆ ของฟินแลนด์ในยุคนั้นด้วย
                พ.ศ. 2093 กษัตริย์ของสวีเดน สมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 1 ได้ทรงก่อตั้งเมืองเฮลซิงกิขึ้นในชื่อ "เฮลซิงฟอร์ส" (Helsingfors) แต่เมืองนี้คงสภาพเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงกว่าสองร้อยปี ชื่อเฮลซิงฟอร์สยังคงเป็นชื่อเมืองเฮลซิงกิในภาษาสวีเดนในปัจจุบัน
                ดินแดนฟินแลนด์ถูกยึดครองโดยรัสเซียสองครั้งในพุทธศตวรรษที่ 23



                                                   การประชุมรัฐสภาครั้งแรก พ.ศ. 2449




            ราชรัฐฟินแลนด์ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย

                พ.ศ. 2352 ในช่วงสงครามระหว่างสวีเดนและรัสเซีย กองทัพของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ก็สามารถยึดดินแดนฟินแลนด์ได้อีกครั้ง ฟินแลนด์ดำรงสถานะเป็นดินแดนปกครองตนเอง ราชรัฐฟินแลนด์ ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย จนกระทั่งถึงการประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2460 ในยุคของราชรัฐฟินแลนด์ ภาษาฟินแลนด์ได้รับความสำคัญมากขึ้นในฟินแลนด์ อันเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยม จนกระทั่งได้รับสถานะเดียวกับภาษาสวีเดนใน พ.ศ. 2435 ต่อมาในปี พ.ศ. 2449 ฟินแลนด์เริ่มมีการให้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม (ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิกันเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ หรือสถานะทางสังคม) โดยฟินแลนด์เป็นชาติแรกในโลก ที่ให้สิทธิทั้งการเลือกตั้งและการลงเลือกตั้งแก่สตรี

            หลังการประกาศเอกราช

              หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิกในรัสเซียประสบความสำเร็จ รัฐสภาของฟินแลนด์ลงมติเห็นชอบในเรื่องการประกาศเอกราชของฟินแลนด์ ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2460 และรัฐบาลบอลเชวิกรัสเซีย ยอมรับการประกาศเอกราชในเกือบหนึ่งเดือนถัดมา ซึ่งเยอรมนีและชาติสแกนดิเนเวียอื่น ๆ ก็ยอมรับการประกาศเอกราชตามมาในทันที หลังจากการประกาศเอกราช ฟินแลนด์ก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง โดยเกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่าย"ขาว" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิเยอรมนี และฝ่าย"แดง" ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียบอลเชวิก ฝ่ายขาวนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีฐานะค่อนข้างดี มีความเห็นทางการเมืองค่อนไปทางขวา ในขณะที่ฝ่ายแดงส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นฝ่ายซ้ายจะเป็นกลุ่มแรงงาน ฝ่ายขาวชนะสงครามนี้ในเวลาต่อมา ก่อตั้งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นผลสำเร็จ
               หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง รัฐสภาของฟินแลนด์ ซึ่งไม่มีสมาชิกของพรรคสังคมประชาธิปไตยซึ่งสนับสนุนสาธารณรัฐอยู่เลย ได้ประกาศตั้งราชอาณาจักรฟินแลนด์ขึ้น โดยเลือกเจ้าชายเฟเดอริก ชาลส์ แห่งแฮสส์ของเยอรมนี ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของฟินแลนด์ แต่เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความคิดนี้จึงต้องยกเลิกไป และฟินแลนด์ก็ประกาศเป็นสาธารณรัฐ โดยมีคาร์โล ยุโฮ สโตห์ลเบิร์ก เป็นประธานาธิบดีคนแรก


ทหารเด็กวัยสิบสามปี ของฝ่ายขาวใน สงครามกลางเมือง

            สงครามโลกครั้งที่สอง

               ฟินแลนด์ต่อสู้กับสหภาพโซเวียตสองครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสงครามฤดูหนาว ระหว่างปี พ.ศ. 2482-2483 และสงครามต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2484-2487 โดยร่วมมือกับนาซีเยอรมนี (อาณาจักรไรช์ที่สาม) ในปฏิบัติการบาร์บารอสซา ทำให้สหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับฟินแลนด์ และฟินแลนด์มีสถานะเป็นประเทศฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์เปลี่ยนฝ่ายในปี พ.ศ. 2487 เมื่อต่อสู้ขับไล่นาซีเยอรมนีออกจากตอนเหนือของฟินแลนด์ในสงครามแลปแลนด์ หลังจากที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับโซเวียต ชาวฟินแลนด์ประมาณ 86,000 คนเสียชีวิตในสงครามสองครั้งกับสหภาพโซเวียต ในขณะที่อีกห้าหมื่นคนได้รับบาดเจ็บและทุพพลภาพถาวร

 

            ยุคหลังสงคราม

                จากสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลให้กับสหภาพโซเวียต รวมถึงเสียดินแดนถึงร้อยละ 12 ของดินแดนทั้งหมด ทำให้ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้กับชาวฟินแลนด์ถึง 420,000 คน  อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์ไม่เคยถูกครอบครองเลยในช่วงสงคราม โดยเฮลซิงกิเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงของประเทศยุโรปที่เข้าร่วมสงครามที่ไม่ถูกยึดครองโดยฝ่ายศัตรู (อีกสองเมืองคือลอนดอนและมอสโก)
               ในยุคสงครามเย็น ฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากโซเวียตอย่างมาก ฟินแลนด์จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามงวดสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เฮลซิงกิเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ซึ่งช่วยฟื้นฟูกำลังใจของชาวฟินแลนด์หลังสงคราม[4] ปีเดียวกันนี้ ฟินแลนด์และประเทศในคณะมนตรีนอร์ดิกเข้าร่วมเปิดเสรีหนังสือเดินทางในปี โดยอนุญาตให้ประชาชนของชาติสมาชิกข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง (ขณะนั้นฟินแลนด์ยังไม่ได้เข้าร่วมคณะมนตรี) โดยฟินแลนด์เข้าร่วมคณะมนตรีนอร์ดิกในปี พ.ศ. 2498
                แม้ว่าฟินแลนด์จะได้อิทธิพลจากโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงรักษาประชาธิปไตยและเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีไว้ได้ ซึ่งต่างจากประเทศส่วนใหญ่ที่อยู่ติดกับสหภาพโซเวียต ความเสียหายจากสงคราม การที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามและผลิตสินค้าเพื่อจ่ายหนี้ให้กับสหภาพโซเวียต ทำให้ฟินแลนด์พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจากกสิกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างระบบสวัสดิการสังคมที่ดีได้ในเวลาไม่กี่สิบปี
               หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ฟินแลนด์ก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากการที่การค้าทวิภาคีจำนวนมหาศาลหายไปอย่างรวดเร็ว ฟินแลนด์ยื่นใบสมัครเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี พ.ศ. 2535 หลังจากที่สวีเดนยื่นไปก่อนหน้านั้นและโซเวียตล่มสลายลง ฟินแลนด์เข้าร่วมสหภาพพร้อมกับสวีเดนและออสเตรียในปี พ.ศ. 2538

      การเมืองการปกครอง

          ฟินแลนด์ปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน มีรัฐสภา และใช้ระบอบกึ่งประธานาธิบดี ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดีมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของนโยบายต่างประเทศ อำนาจบริหารส่วนใหญ่จะอยู่ที่คณะรัฐมนตรี นำโดยนายกรัฐมนตรี

         รัฐธรรมนูญ

            รัฐธรรมนูญของประเทศฟินแลนด์ ฉบับแรกมีใช้เมื่อ พ.ศ. 2462 ไม่นานหลังจากประกาศอิสรภาพจากรัสเซีย และไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอด 50 ปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญเริ่มในปี พ.ศ. 2526 หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง รวมถึงการเริ่มใช้ระบบเลือกตั้งประธาธิบดีโดยตรง[
             พ.ศ. 2538 ฟินแลนด์เริ่มตั้งคณะทำงานรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2543 เพื่อศึกษาการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ และต่อมาก็ตั้งคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2543 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คณะกรรมการเสร็จสิ้นการทำงานในปี พ.ศ. 2541 ในรูปของร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น คณะกรรมการกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ทำการพิจารณาร่าง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาในผ่านการอนุมัติจากประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ ในปี พ.ศ. 2542 เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2543 และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
             ในฟินแลนด์ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญและฝ่ายตุลาการไม่มีอำนาจในการประกาศว่ากฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญ อำนาจในการตีความว่ากฎหมายนั้นสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาเท่านั้น

          ฝ่ายบริหาร 

             อำนาจบริหารของฟินแลนด์อยู่ที่ประธานาธิบดี ซึ่งเป็นประมุขของประเทศ ประธานาธิบดีได้รับเลือกโดยตรง ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี มีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศ รับรองกฎหมาย แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นๆอย่างเป็นทางการ และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังของฟินแลนด์ด้วย อย่างไรก็ตาม กิจการภายในสหภาพยุโรปไม่รวมอยู่ในอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี แต่เป็นของคณะรัฐมนตรี
              ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น จะต้องเป็นชาวฟินแลนด์โดยกำเนิด ในปัจจุบัน ประธานาธิบดีไม่สามารถดำรงตำแหน่งมากกว่าสองสมัย ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือเซาลี นีนิสเตอ เริ่มดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ.2555
              ในคณะรัฐมนตรีจะมีตำแหน่งผู้ตรวจการ ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ เช่น ประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐการทั่วไป ผู้ตรวจการจะเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีในฐานะสมาชิกที่ไม่มีสิทธิออกเสียง ตำแหน่งนี้และผู้ช่วยแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี

เซาลี นีนิสเตอ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟินแลนด์

            ฝ่ายนิติบัญญัติ

               รัฐสภาของฟินแลนด์  เป็นระบบสภาเดี่ยว มีสมาชิก 200 คน ภายใต้รัฐธรรมนูญของฟินแลนด์ รัฐสภามีอำนาจนิติบัญญัติสูงสุด รัฐสภามีหน้าที่ผ่านกฎหมาย กำหนดงบประมาณรัฐ ยอมรับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และดูแลการดำเนินงานของรัฐบาล รัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถอดถอนคณะรัฐมนตรี และดำเนินการหลังการใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต้) ของประธานาธิบดีได้ การตรากฎหมายสามารถเริ่มโดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกของรัฐสภา การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาสองครั้ง โดยสภาสองสมัยติดต่อกัน (หมายความว่า เห็นชอบโดยรัฐสภาชุดปัจจุบัน และชุดหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า)
                สมาชิกรัฐสภาดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสี่ปี การเลือกตั้งในฟินแลนด์จะแบ่งออกเป็น 15 เขตเลือกตั้ง โดยจำนวนสมาชิกสภาของแต่ละเขตขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในเขตนั้นๆ สมาชิกของแต่ละเขตได้รับเลือกโดยแบ่งตามอัตราส่วนตามระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด หมู่เกาะโอลันด์จะมีตัวแทนในรัฐสภาหนึ่งที่เสมอ โดยทั่วไปการเลือกตั้งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมีนาคม
                 สมาชิกรัฐสภาประชุมกันที่อาคารรัฐสภา  ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮลซิงกิ

              พรรคการเมือง

                ในยุคแรกๆ พรรคการเมืองของฟินแลนด์นั้นแบ่งตามพื้นฐานทางภาษา และต่อมาตามทัศนคติที่มีต่อความพยายามรวมฟินแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย การปฏิรูปรัฐสภาในปี พ.ศ. 2449 สร้างระบบพรรคการเมืองสมัยใหม่ให้กับฟินแลนด์
                 ในฟินแลนด์พรรคฝ่ายซ้าย (สังคมนิยม) ค่อนข้างแข็งแกร่ง พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งฟินแลนด์  ได้รับถึง 80 จาก 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งแรก พรรคนี้ยังคงเป็นหนึ่งในสามพรรคใหญ่ในปัจจุบัน
                  อีกสองพรรคสำคัญของฟินแลนด์ได้แก่พรรคพันธมิตรแห่งชาติ  ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2461 โดยกลุ่มอนุรักษนิยม และพรรคกลาง หรือในอดีตคือพรรคเกษตรกร  สำหรับพรรคประชากรสวีเดน  เป็นพรรคเก่าแก่อีกพรรคหนึ่ง ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอจากเขตประชากรที่พูดภาษาสวีเดน
                 ในช่วงทศวรรษ 2510 และ 2520 เสียงสนับสนุนของพรรคซ้ายจัด (เช่นพรรคคอมมิวนิสต์) เริ่มลดลง เช่นเดียวกับบรรดาพรรคเสรีนิยมหรือพรรคก้าวหน้า พรรคใหม่หลายพรรคเริ่มเข้ามามีบทบาท เช่นพรรคคริสเตียนเดโมแครต พรรคกรีน และพรรคพันธมิตรซ้าย
                  โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีพรรคใดได้เสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และจะต้องร่วมมือกับพรรคอื่นในการจัดตั้งรัฐบาลผสม พรรคการเมืองที่มีสมาชิกในรัฐสภาในปัจจุบัน จากการเลือกตั้งในเดือน เมษายน พ.ศ. 2554 ได้แก่



ชื่อชื่อภาษาฟินแลนด์ชื่อภาษาสวีเดนจำนวนสมาชิกในรัฐสภาความเปลี่ยนแปลง
พรรคกลางKeskustaCentern i Finland
35
-16
พรรคพันธมิตรแห่งชาติKansallinen KokoomusSamlingspartiet
44
-6
พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งฟินแลนด์Suomen Sosialidemokraattinen PuolueFinlands Socialdemokratiska Parti
42
-3
พรรคพันธมิตรซ้ายVasemmistoliittoVänsterförbundet
12
-5
พรรคกรีนVihreä liittoGröna förbundet
10
-5
พรรคประชากรสวีเดนRuotsalainen kansanpuolueSvenska folkpartiet
10
+1
พรรคคริสเตียนเดโมแครตKristillisdemokraatitKristdemokraterna
6
-1
พรรคชาวฟินน์รากฐานPerussuomalaisetSannfinländarna
39
+34
พรรคกลุ่มซ้ายVasenryhmäVänstergruppen
2
+2

            ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

               นโยบายการต่างประเทศของฟินแลนด์โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่ที่การเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ฟินแลนด์ยังเป็นสมาชิกของคณะมนตรีนอร์ดิก และมีความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มนอร์ดิกมาอย่างยาวนาน ฟินแลนด์มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน สวีเดน นอร์เวย์ รัสเซีย และเอสโตเนีย และไม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศหรือตามแนวชายแดน ฟินแลนด์วางสถานะเป็นกลางและไม่เข้าร่วมในพันธมิตรทางการทหารใด รวมถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อฟินแลนด์ โดยมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถึงหนึ่งในสาม และฟินแลนด์ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ


           การแบ่งเขตการปกครอง

          ชุมชนและภูมิภาค

           ฟินแลนด์มีการแบ่งการปกครองเป็นสองระดับ ได้แก่ รัฐ และเทศบาล โดยเทศบาลนั้นอยู่ในระดับการปกครองเดียวกับเมือง เว้นแต่ว่าเทศบาลในเขตชนบทจะไม่เรียกว่าเป็นเมือง ในปีพ.ศ. 2550 มีเขตเทศบาลทั้งหมด 416 เขต แม้ว่าทุกเทศบาลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ แต่จะสามารถกระทำการตัดสินใจเองได้ นั่นหมายความว่า หากการตัดสินใจของสภาเทศบาลไม่ผิดกฎหมายแล้ว ก็จะไม่สามารถขัดได้
          เทศบาลต่าง ๆ จะประสานงานกันในระดับอนุภูมิภาค และภูมิภาค โดยมี 74 อนุภูมิภาคและ 20 ภูมิภาคในฟินแลนด์ อนุภูมิภาคและภูมิภาคปกครองโดยเทศบาลที่เป็นสมาชิก ภูมิภาคโอลันด์มีสภาเทศบาลถาวรที่มาจากการเลือกตั้ง จากการที่เป็นเขตปกครองตนเอง

          จังหวัด

ฟินแลนด์ยังมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 6 จังหวัด และ 90 เขตปกครองท้องถิ่นของรัฐ โดยที่เจ้าหน้าที่จังหวัดเป็นเจ้าหน้าที่แต่งตั้งจากรัฐบาลกลาง การแบ่งจังหวัดนั้นเป็นเรื่องของการปกครองเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนการแบ่งเขตทางภาษาและวัฒนธรรมแต่อย่างใด จังหวัดของฟินแลนด์ได้แก่
  1. ฟินแลนด์ใต้
  2. ฟินแลนด์ตะวันตก
  3. ฟินแลนด์ตะวันออก
  4. โอวลุ
  5. แลปแลนด์ (ลัปปิ)
  6. โอลันด์

แผนที่จังหวัดของฟินแลนด์

                ภูมิศาสตร์

             ภูมิประเทศ

              ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีทะเลสาบและเกาะเป็นจำนวนมาก โดยมีทะเลสาบถึง 187,888 แห่ง (ที่มีเนื้อที่มากกว่า 500 ตารางเมตร) และมีเกาะถึง 179,584 เกาะ โดยทะเลสาบไซมา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของยุโรป ภูมิประเทศทั่วไปของฟินแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขามากนัก จุดสูงสุดของประเทศอยู่ที่ภูเขาฮัลติ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตแลปแลนด์ โดยมีความสูง 1,328 เมตร นอกจากทะเลสาบแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟินแลนด์ปกคลุมด้วยป่าสน และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก ฟินแลนด์มีเกาะที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ บริเวณหมู่เกาะโอลันด์ และตลอดแนวชายฝั่งทางใต้ในอ่าวฟินแลนด์ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่ยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการยกตัวของแผ่นดินที่มีผลมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย

 

                 เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

              ภาพรวม




               ในอดีต นโยบายการค้าขายของฟินแลนด์อยู่ในกรอบของการรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนบ้านมหาอำนาจจักรวรรดิรัสเซีย และต่อมาสหภาพโซเวียต ถึงกระนั้นก็ตาม ฟินแลนด์ได้กลายเป็นประเทศที่แผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจได้กว้างไกลที่สุดประเทศหนึ่งของโลกในเวลาต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์พัฒนาไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมและเป็นตลาดเสรี ซึ่งมีผลผลิตต่อประชากรสูงไม่ต่างจากเศรษฐกิจในโลกตะวันตกอื่นๆ ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่การผลิตไม้ โลหะ วิศวกรรม โทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศของฟินแลนด์มีส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นอกจากป่าไม้และแร่ธาตุบางอย่างแล้ว ฟินแลนด์ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงส่วนประกอบของสินค้าอุตสาหกรรมบางอย่าง ภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์คือการบริการ ในขณะที่การผลิตปฐมภูมิมีส่วนเพียงร้อยละ 2.9 ของจีดีพี
               เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมาะสม ทำให้การทำเกษตรกรรมถูกจำกัดอยู่เพียงการผลิตเพื่อเพียงพอต่อการบริโภคเท่านั้น การทำป่าไม้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการส่งออก จึงเป็นอุตสาหกรรมอันดับสองของประเทศ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งใน 11 ประเทศที่ร่วมใช้ระบบเงินยูโรในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2542 แทนสกุลเงินมาร์กฟินแลนด์พ.ศ. 2534 ฟินแลนด์ประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดลงของการค้าขายแบบแลกเปลี่ยนกับสหภาพโซเวียต ก่อนปี 2534 การค้าขายมากกว่าหนึ่งในห้าของฟินแลนด์เกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียตในปี 2534 ฟินแลนด์ลดค่าเงินมาร์กเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในปี 2536 จากนั้นก็มีการเจริญเติบโตขึ้นจนถึงปี 2538 ตั้งแต่นั้นมา ฟินแลนด์ก็อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในประเทศสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี)
               ฟินแลนด์ได้รับการประกาศให้เป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลกสามปีติดต่อกัน คือระหว่าง 2546-2548 โดยเวิลด์อิโคโนมิกฟอรั่ม (World Economic Forum)ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความสนใจไปที่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวได้ว่าบริษัทโนเกียของฟินแลนด์เป็นส่วนประกอบสำคัญในสาขาสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ นั่นคือภาคโทรคมนาคม


                 การคมนาคม

              จากข้อมูลถึงปี พ.ศ. 2548 ถนนสาธารณะทั้งหมดของประเทศมีความยาว 78,189 กิโลเมตร ทางรถไฟทั้งประเทศมีความยาว 5,741 กิโลเมตร โดยในเฮลซิงกิมีระบบรถไฟในเมือง และในปัจจุบันกำลังมีโครงการสร้างไลท์เรลในเมืองตัมเปเร และตุรกุ ฟินแลนด์มีสนามบิน 148 แห่งโดยสนามบินที่ใหญ่ที่สุดคือท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วันตา
              ระบบรถไฟในฟินแลนด์ให้บริการโดยรัฐวิสาหกิจ "เวแอร" (VR) โดยให้บริการรถไฟเชื่อมต่อเมืองต่างๆทั่วประเทศ เส้นทางรถไฟส่วนใหญ่จะเริ่มต้นหรือสิ้นสุดทางที่สถานีรถไฟกลางเฮลซิงกิ มีบริการรถไฟความเร็วสูงเพนโดลีโน เชื่อมต่อเมืองหลักของประเทศ โดยเฉพาะตัมเปเรและตุรกุ ท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วันตา เป็นประตูสู่เมืองหลักๆของโลกหลายแห่ง โดยมีเที่ยวบินตรงไปยังกรุงเทพฯ ปักกิ่ง เดลี กวางเจา นาโกย่า นิวยอร์ก โอซะกะ เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และโตเกียว


                      ประชากร

                ฟินแลนด์มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน และมีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ราว 17 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรของฟินแลนด์กระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ในจังหวัดอูซิมาซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมีความหนาแน่น 30 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในส่วนของตัวเมืองเฮลซิงกิมีความหนาแน่นถึงสามพันคนต่อตารางกิโลเมตร) ในขณะที่ทางตอนเหนือในเขตแลปแลนด์ มีประชากรเพียงสองคนต่อตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมืองใหญ่อื่นๆนอกจากในเขตมหานครเฮลซิงกิ (ซึ่งรวมถึงเมืองวันตาและเอสโป) ได้แก่ตัมเปเร ตุรกุ และโอวลุ

               ภาษา

ร้อยละ 92 ของประชากรฟินแลนด์พูดภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาแม่ รองลงมาคือภาษาสวีเดน (ร้อยละ 5.5) ซึ่งสองภาษานี้เป็นภาษาทางการของประเทศ ภาษาอื่นที่มีการพูดการในฟินแลนด์ได้แก่ภาษารัสเซีย และภาษากลุ่มซามิ ภาษาและวัฒนธรรมของชาวซามิ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในเขตแลปแลนด์ ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย

                                                             มหาวิหารของเมืองมิกเกลิ 

               ศาสนา

                ชาวฟินแลนด์ประมาณร้อยละ 83 นับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน และมีส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 1.1) นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ สองนิกายนี้เป็นศาสนาประจำชาติของฟินแลนด์ นอกจากนี้ ศาสนาอื่นๆที่มีนับถือในฟินแลนด์ได้แก่นิกายโปรเตสแทนท์อื่นๆคาทอลิก อิสลาม และยูดาย นอกเหนือจากประชากรร้อยละ 14.7 ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา (เช่นการเข้าโบสถ์) นั้นน้อยกว่าที่เป็นตามตัวเลขนี้พอสมควร ชาวฟินแลนด์ส่วนใหญ่จะเคยเข้าโบสถ์น้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานพิธีต่างๆเช่นการแต่งงาน

             การศึกษา

                ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค โดยไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนเต็มเวลา ฟินแลนด์มีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ตั้งแต่อายุ 7-16 ปี โรงเรียนทุกแห่งจะมีอาหารกลางวันบริการฟรี การเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไม่บังคับ โดยมีทั้งการเรียนเตรียมอุดมศึกษาสายสามัญ และอาชีวศึกษา และในระดับอุดมศึกษาก็จะมีทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนอาชีวศึกษาขั้นสูง จากโครงการเพื่อประเมินศักยภาพเด็กนักเรียนสากลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ประจำปี พ.ศ. 2549 นักเรียนอายุ 15 ปีของฟินแลนด์นั้นทำคะแนนสูงสุดในด้านความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ เวิลด์อิโคโนมิกฟอรัมจัดอันดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้เป็นอันดับหนึ่งของโลก ประชากรที่อายุเกิน 15 ปีมีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์

            

                  วัฒนธรรม

             วรรณกรรม

               การจารึกตัวอักษรของชาวฟินแลนด์ปรากฏพบเห็นนับแต่ยุคที่มิคาเอล อกริโคลา แปลหนังสือพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ไปเป็นภาษาฟินแลนด์ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ แต่กลับไม่พบเห็นงานเขียนอื่นๆ มากนักจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 เอเลียส เลินน์รูต ได้รวบรวมบทกวีพื้นบ้านของฟินแลนด์และคาเรเลีย เรียบเรียงเข้าด้วยกันและนำเสนอเป็นผลงานชื่อ กาเลวาลา อันเป็นมหากาพย์แห่งชาติของฟินแลนด์ หลังจากยุคนั้นจึงมีกวีและนักเขียนเพิ่มมากขึ้น ที่มีชื่อเสียงเช่น อะเลกซิส กิวิ และ เอย์โน เลย์โน นักเขียนชาวฟินแลนด์ชื่อ ฟรันส์ เอมิล ซิลลันแป ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี พ.ศ. 2482 และเป็นชาวฟินแลนด์ผู้เดียวที่ได้รับรางวัลนี้นับถึงปัจจุบัน

             ซาวน่า

              การซาวน่าแบบฟินแลนด์ เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมฟินแลนด์ ในปี 2555 ฟินแลนด์มีซาวน่าถึงกว่าสามล้านแห่ง เทียบกับจำนวนประชากรห้าล้านคนของประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีซาวน่าหนึ่งแห่งต่อครัวเรือน สำหรับชาวฟินแลนด์แล้ว ซาวน่าเป็นสถานที่สำหรับผ่อนคลายกับครอบครัวและเพื่อนฝูง และผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ

             อาหาร


พายคาเรเลีย (karjalanpiirakka) เป็นอาหารพื้นบ้านของฟินแลนด์ มีต้นกำเนิดจากเขตคาเรเลียทางตะวันออกของฟินแลนด์

                                 อาหารฟินแลนด์มักมีลักษณะเรียบง่าย และมักได้รับการกล่าวถึงในด้านความเป็นมิตรต่อสุขภาพ ส่วนประกอบที่สำคัญคือปลา เนื้อสัตว์ เบอร์รี และผักต่างๆ ในขณะที่การใช้เครื่องเทศต่างๆมีไม่มากนัก ตัวอย่างอาหารที่สำคัญของฟินแลนด์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ได้แก่ ruisleipä (ขนมปังข้าวไรย์ เป็นขนมปังที่มีสีเข้มและมีรสเปรี้ยว) และ karjalanpiirakka (พายคาเรเลีย แป้งกรอบสอดไส้ข้าว) เป็นต้น

           


             ดนตรี


    คอนเสิร์ตของวงลอร์ดิในกรุงเฮลซิงกิ
 หลังจากชนะการประกวดเพลงยูโรวิชัน‎

            ดนตรีของฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากดนตรีดั้งเดิมของคาเรเลีย วัฒนธรรมคาเรเลียเป็นสิ่งสื่อถึงการแสดงออกของตำนานเทพนิยายและความเชื่อของชาวฟินนิก ดนตรีพื้นบ้านของฟินแลนด์ ได้ถูกนำมาทำใหม่โดยวงดนตรีสมัยใหม่ และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของดนตรียอดนิยมในปัจจุบัน ชาวซามิในตอนเหนือของฟินแลนด์มีดนตรีดั้งเดิมของตนเอง
ส่วนหนึ่งของดนตรีฟินแลนด์สมัยใหม่ของฟินแลนด์ที่มีชื่อเสียงคือดนตรีเดธเมทัล เช่นเดียวกับวงดนตรีร็อก นักดนตรีแจ๊ซ และนักแสดงฮิปฮอป ดนตรีที่เป็นที่นิยมของฟินแลนด์ยังรวมไปถึงอุปรากร และดนตรีแดนซ์ วงดนตรีจากฟินแลนด์หลายวงประสบความสำเร็จในวงการดนตรีเฮฟวีเมทัลและดนตรีร็อกของยุโรปและญี่ปุ่น เช่น วงไนท์วิช อะมอร์ฟิส วัลตาริ เป็นต้น พ.ศ. 2549 วงดนตรีลอร์ดิ (Lordi) จากฟินแลนด์ ชนะการประกวดเพลงยูโรวิชัน‎ 2006 โดยเป็นชัยชนะครั้งแรกของฟินแลนด์ตลอดยี่สิบปีที่ส่งประกวด เพลงที่ใช้ในการประกวดคือเพลง"ฮาร์ดร็อกฮัลเลลูยา" (Hard Rock Halleluja)

         กีฬา


      การแข่งขันฟลอร์บอล
  ระหว่างทีมชาติฟินแลนด์และสวีเดน

          ประชากรของฟินแลนด์มีความนิยมในกีฬาสูง กีฬาประจำชาติของฟินแลนด์คือ pesäpallo ซึ่งเป็นกีฬาที่มีลักษณะคล้ายเบสบอล นอกจากนี้ กีฬาที่ได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในแง่ของการชมทางโทรทัศน์ ได้แก่กีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง และการแข่งรถสูตรหนึ่ง ในอดีต ฟินแลนด์เคยมีชื่อเสียงในเรื่องนักวิ่งระยะกลาง ในกีฬาโอลิมปิก 1924 (พ.ศ. 2467)ที่ปารีส ปาโว นุรมิ คว้าถึงสี่เหรียญทอง ฟินแลนด์เป็นบ้านเกิดของนักกีฬาระดับโลกในปัจจุบันหลายคน เช่น มิกะ แฮกกิเนน กิมิ ไรก์เกอเนน (นักแข่งรถสูตรหนึ่ง) ซามิ ฮูเปีย ยาริ ลิตมาเนน (นักฟุตบอล) นอกจากนี้ยังมีนักกีฬาอีกหลายชนิดที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก กีฬาหรือกิจกรรมนันทนาการที่เป็นที่นิยมในฟินแลนด์ได้แก่ ฟลอร์บอล สกี และ sauvakävely (การเดินด้วยแท่งไม้สกี) ฟินแลนด์เคยเป็นเจ้าภาพกีฬากีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี พ.ศ. 2495